dock rubber fender

ยางกันชนมีกี่ประเภท? เลือกใช้อย่างไรให้เหมาะกับหน้างาน

ทำความเข้าใจ ยางกันชนมีกี่ประเภท?

ยางกันชน (Rubber Bumpers) เป็นอุปกรณ์สำคัญที่ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันแรงกระแทก แบ่งประเภทตามลักษณะการใช้งานและรูปแบบของผลิตภัณฑ์ ซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นกลุ่มหลัก ๆ ดังนี้

1. ยางกันชนตามลักษณะการติดตั้งและรูปทรง (Application-Based Bumpers)

กลุ่มนี้เป็นประเภทของยางกันชนที่พบเห็นได้ทั่วไปในอุตสาหกรรมและอาคาร โดยรูปทรงของมัน ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการกระแทกในพื้นที่เฉพาะ

  • ยางกันชนท่าเทียบเรือ (Dock Bumpers)
    • หน้าที่: ใช้ติดตั้งที่ขอบท่าเทียบเรือหรือประตูขนถ่ายสินค้า เพื่อรับแรงกระแทกหนัก จากการถอยเข้าเทียบของรถบรรทุก
    • ลักษณะ: มักมีขนาดใหญ่ หนา และทำจากยางที่มีความหนาแน่นสูงเพื่อรับแรงกระแทกซ้ำ ๆ และต่อเนื่อง
    • รูปแบบที่พบ: แบบสี่เหลี่ยมผืนผ้า (Laminated Bumper), แบบทรง "D" (D-Shape Bumper)

  • ยางกันชนมุมเสา (Corner Guards)
    • หน้าที่: ใช้ติดตั้งที่มุมเสาหรือขอบผนังอาคารจอดรถและโรงงาน เพื่อป้องกันความ เสียหายเมื่อรถเข็นหรือยานพาหนะเข้าชนจากมุม
    • ลักษณะ: มักเป็นรูปทรงตัว L หรือตัว V ทำจากยางหรือพลาสติกที่มีความทนทาน ต่อการขีดข่วน

  • ยางกันชนผนัง (Wall Guards):
    • หน้าที่: ติดตั้งตามแนวผนังในพื้นที่ที่มีการสัญจรหนาแน่น เช่น ทางเดินในโรงพยาบาลหรือโรงงาน เพื่อป้องกันการครูดหรือชนจากรถเข็น เตียง หรือพาเลท
    • ลักษณะ: เป็นแถบยาวหรือแผ่นยางเรียบ ติดตั้งในระดับที่สอดคล้องกับความสูงของอุปกรณ์ที่เคลื่อนที่

2. ยางกันชนตามวัตถุประสงค์เฉพาะ (Specialized Bumpers)

  • ยางรองแท่นเครื่อง/ลดการสั่นสะเทือน (Anti-Vibration Mounts)
    • หน้าที่: ใช้รองใต้ฐานเครื่องจักรหนัก ปั๊มน้ำ หรือคอมเพรสเซอร์ เพื่อดูดซับแรง สั่นสะเทือน ป้องกันการเคลื่อนที่ของเครื่องจักร และลดเสียงรบกวน
    • ลักษณะ: มีหลากหลายรูปทรง เช่น ทรงกระบอก (Cylindrical Mount), ทรงกรวย (Conical Mount)

  • ยางกันชนประตู/กันชนหยุด (Door/Machine Stoppers)
    • หน้าที่: ใช้เป็นตัวหยุดการเคลื่อนที่ของประตู รางเลื่อน หรือชิ้นส่วนของเครื่องจักร
    • ลักษณะ: ขนาดเล็ก อาจมีรูปทรงกลมหรือสี่เหลี่ยม ติดตั้งบนพื้น ผนัง หรือโครงสร้างเครื่องจักร

 

คู่มือการเลือกใช้ยางกันชนให้เหมาะกับหน้างานจริง

การเลือกยางกันชนที่ถูกต้องจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและยืดอายุการใช้งาน การตัดสินใจควรพิจารณาจาก 3 ปัจจัยหลัก

ปัจจัยที่ 1: วิเคราะห์แรงกระแทกและน้ำหนัก

สิ่งสำคัญที่สุดคือการทราบว่ายางกันชนนั้นต้องรับแรงกระแทกหนักเพียงใด

  • แรงกระแทกหนัก (Heavy Impact): เช่น การชนจากรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่ท่าเทียบเรือ (ใช้ Dock Bumpers ขนาดใหญ่ วัสดุยางธรรมชาติหรือ SBR ที่มีความหนาแน่นสูง)
  • แรงกระแทกปานกลาง (Medium Impact): เช่น การชนจากรถยกหรือรถเข็นในโรงงาน (ใช้ Corner Guards หรือ Wall Guards วัสดุยาง SBR/EPDM)
  • การสั่นสะเทือนและน้ำหนักคงที่ (Vibration & Static Load): เช่น การรองรับเครื่องจักร (ใช้ Anti-Vibration Mounts วัสดุที่คำนึงถึงค่าความแข็ง Shore Hardness ที่เหมาะสม)

 

ปัจจัยที่ 2: สภาพแวดล้อมในการติดตั้ง

วัสดุของยางกันชนต้องทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่ใช้งาน

สภาพแวดล้อมวัสดุที่แนะนำเหตุผล
กลางแจ้ง/ตากแดด/ฝน ยาง EPDM ทนทานต่อโอโซนและรังสียูวี ไม่เปราะง่าย
พื้นที่สัมผัสกับน้ำมัน/สารเคมี ยาง NBR (Nitrile) หรือ โพลียูรีเทน ทนทานต่อการเสื่อมสภาพจากปิโตรเลียมและสารเคมี
การใช้งานทั่วไป/ภายในอาคาร ยาง SBR หรือยางธรรมชาติ มีความยืดหยุ่นดีและมีราคาที่เข้าถึงได้ง่าย

 

ปัจจัยที่ 3: ข้อกำหนดด้านกฎหมายและมาตรฐานความปลอดภัย

ในบางพื้นที่ เช่น ท่าเทียบเรือหรือโรงงานที่มีการตรวจสอบด้านความปลอดภัย อาจมีข้อกำหนดเฉพาะเกี่ยวกับขนาด สี (เช่น สีเหลือง/ดำ เพื่อการมองเห็น) หรือ วิธีการติดตั้งยางกันชน ที่ต้องปฏิบัติตาม อย่างเคร่งครัด

 

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับยางกันชน

Q: ยางกันชนรูปทรง D-Shape แตกต่างจากสี่เหลี่ยมอย่างไร?
A: ยางกันชน ทรง D-Shape (D-Shape Bumper) มักถูกออกแบบมาให้ติดตั้งตามขอบเรือ หรือขอบผนังที่มีความยาวต่อเนื่อง ข้อดีคือมีพื้นที่ในการรับแรงกระแทกที่ค่อนข้างกว้าง และ มีรูสำหรับยึดติดที่ง่ายต่อการติดตั้งตามแนวโค้งหรือแนวตรง ส่วนแบบสี่เหลี่ยมมักใช้เป็น Dock Bumpers ที่ท่าเทียบเรือ ซึ่งเน้นความหนาเพื่อรับแรงกระแทกเฉพาะจุด

Q: ควรเปลี่ยนยางกันชนบ่อยแค่ไหน?
A: ไม่มีกำหนดเวลาตายตัว การเปลี่ยน ยางกันชน ควรทำเมื่อพบสัญญาณความเสียหายที่ชัดเจน เช่น รอยฉีกขาดลึก การแตกของเนื้อยาง หรือการเสียรูปทรงอย่างถาวรจนสูญเสียความสามารถในการดูดซับแรงกระแทก การตรวจสอบสภาพอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งจำเป็น

Q: ค่าความแข็ง (Shore Hardness) ของยางกันชนมีผลอย่างไรต่อการใช้งาน?
A: ค่าความแข็ง (Shore Hardness) คือ ตัวบ่งชี้ความสามารถในการรับแรงกดทับและการยุบตัวของยางกันชน ยางที่มีค่า Shore Hardness สูง (เช่น 70-80 Shore A) จะแข็งและยุบตัวน้อย เหมาะสำหรับรับแรงกระแทกหนักและต้องการการป้องกันที่แน่นหนา ส่วนยางที่มีค่าความแข็งต่ำจะนุ่มกว่า เหมาะสำหรับงานที่ต้องการการดูดซับแรงสั่นสะเทือนและการยืดหยุ่นสูง

Q: ยางกันชนที่ใช้ในห้องเย็นหรือพื้นที่อุณหภูมิต่ำต้องเลือกอย่างไร?
A: สำหรับพื้นที่อุณหภูมิต่ำหรือห้องเย็น ควรเลือกใช้ยางกันชนที่ผลิตจากวัสดุที่ยังคงความยืดหยุ่นได้ดีแม้ในอุณหภูมิติดลบ เช่น ยางธรรมชาติ (NR) หรือ ยางสูตรพิเศษเฉพาะ เนื่องจากยางบางชนิดจะแข็งตัวและเปราะ เมื่ออุณหภูมิลดต่ำลง ทำให้ประสิทธิภาพในการรับแรงกระแทกลดลงอย่างมาก

 

ให้ Saengthai Rubber ออกแบบยางกันชนให้กับคุณ

เราคือ ผู้เชี่ยวชาญด้านยางกันชน สำหรับอุตสาหกรรม เราตั้งใจผลิตยางกันกระแทกที่ทนทาน เพื่อให้ตรงตามความต้องการกับโรงงานและอาคารจอดของคุณ รับคำแนะนำจากเรา ฟรี

 

 ติดต่อเรา

tel:023841693 

Visitors: 128,738